Km แมงม ม เคร อข ายความค ดพ ช ตความร

เผยแพร่: 27 พ.ค. 2560 00:02 ปรับปรุง: 27 พ.ค. 2560 07:36 โดย: MGR Online

“ประยุทธ์” เผยไม่แถลงผลงาน 3 ปี เหตุมีคนรอจังหวะบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อโจมตีรัฐบาล ยันประชาธิปไตยของไทยต้องไม่ล้มเหลว ฝาก 4 คำถาม “1. เลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลไหม 2. หากไม่ได้ทำอย่างไร 3. จะเลือกตั้งอย่างเดียวไม่คำนึงเรื่องอื่นถูกต้องมั้ย 4. หากนักการเมืองกลับมาสร้างปัญหาอีกควรแก้อย่างไร” ขอให้ประชาชนส่งคำตอบเพื่อใช้เป็นแนวทางในการทำงานต่อไป

วันนี้ (26 พ.ค.) เมื่อเวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่าการรายงานผลความคืบหน้าการบริหารราชการแผ่นดินครบรอบ 3 ปี ของรัฐบาล และ คสช. นั้น ผมคิดว่า ขณะนี้ยังไม่จำเป็นนะครับ อาจจะไม่เป็นประโยชน์มากนัก เพราะเราได้พยายามสร้างการรับรู้มาอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร แต่เราทำทุกอย่างมาโดยตลอด แต่ยังมีผู้ที่พยายามรอจังหวะและโอกาสในการที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริง บั่นทอนกันเอง

คงไม่ใช่เป็นการติเพื่อก่อ แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ โดยไม่ผ่านกระบวนแสวงหาข้อมูลที่ครบถ้วน ไม่ฟัง ไม่อ่าน เลยไม่มีข้ามูลที่รอบด้าน หยิบเอาเฉพาะบางประเด็น ซึ่งเป็นรายละเอียดที่ต้องแก้ไขอยู่มาโจมตี จนงานใหม่ หรืองานใหญ่ทำไม่ได้ เมื่องานเล็กทำไม่ได้ งานใหญ่มันก็ไปไม่ได้เหมือนกัน เพราะอยู่ในกลุ่มงานเดียวกัน เพราะฉะนั้นอยากจะฝากว่า หากพี่น้องประชาชนได้มีการติดตามการดำเนินการของทุกกระทรวง หรือทุกหน่วยงานตามนโยบายรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ความพยายามเหล่านั้นที่ไม่เป็นกุศล ไม่มีเจตนาดีเหล่านั้น มันคงไม่ส่งผลกระทบใดๆ เพราะเราต้องอยู่กันบนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้ใจที่พี่น้องประชาชน ให้โอกาสผม รัฐบาล และ คสช. ได้ทำงานตามที่ได้แถลงไว้ตั้งแต่ต้น

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับพี่น้องสื่อมวลชนนั้น ผมอยากจะขอร้องขอให้ทบทวน ได้มีการปรับทัศนคติใหม่ เราคิดอย่างเดิมทำอย่างเดิมกันไม่ได้แล้วต่อไปในช่วงนี้ หรือช่วงหน้าด้วย จากเดิมบางส่วนอาจจะเข้าใจกันว่า เราจำเป็นต้องรายงานข่าวให้ดึงดูดให้โดนใจ โดยอาจจะละเลยจรรยาบรรณของสื่อไปบ้าง แบบนี้เป็น การขายข่าว ไม่ใช่การขายความรู้ ประชาชนอาจจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการทำงานของท่านเลย สื่อที่ดีๆ มีอีกมากมาย ผมก็เห็นว่าพี่น้องประชาชนในปัจจุบันนั้นมีการศึกษาสูงขึ้น วุฒิภาวะเพียงพอ มีความรู้เท่าทันและรู้จักการตรวจสอบมากขึ้น น่าจะสามารถแยกแยะในการเสพสื่อที่มีความรับผิดชอบ สื่อที่มีคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น คงมีคนหรือสื่อส่วนน้อยเท่านั้น ที่อาจจะยังไม่พัฒนาตนเอง ชอบความขัดแย้ง ไม่เปิดรับความเห็นต่างๆ ที่มีหลายด้านด้วยกันมาประมวลประยุกต์ เพื่อจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง ให้กับสังคม

เพราะฉะนั้นอาจจะยังนิยมสื่อ หรือนิยมการเสนอข่าว ขายข่าวแบบเดิมๆ ที่อาจจะมีผลเสียในเรื่องของการทำลายประเทศในด้านต่างๆ ทำลายสังคม บั่นทอนบรรยากาศความปรองดองของคนในชาติ บรรยากาศของความมีเสถียรภาพในการลงทุน ในด้านเศรษฐกิจด้วย โดยอาจจะมีทั้งเจตนา ไม่เจตนา หวังดี ไม่หวังดี ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่ยอมให้มีการตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น แล้วข้อสำคัญคือ ไม่มีความรับผิดชอบ รัฐบาลต้องแบกรับปัญหาเหล่านี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วทำงานได้ช้า ช้าเกินไป เราต้องมาช่วยกันคิดว่า จะป้องกันเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร

นายกฯ กล่าวด้วยว่า พี่น้องประชาชนที่รักครับ ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านการปฏิรูปประเทศเช่นนี้ ประเทศชาติของเรานั้น เราต้องการมีความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งโดยเนื้อแท้ แล้วนั้น เราไม่ควรจะถือเอาว่า การเลือกตั้งคือประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ หรือไม่สนใจแต่เพียงการมีอำนาจอธิปไตยจากฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ แต่หากเราไม่มีการตรวจสอบได้ ถ่วงดุลกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้รัฐบาลจำเป็นต้องปลูกฝังสิ่งเหล่านั้น กำลังปลูกฝัง เร่งสร้างบรรทัดฐานใหม่ ที่เราอาจจะห่างหายลืมเลือน หรือขาดแคลนบนเส้นทางของการพัฒนาที่ทรงพลัง และยั่งยืน

พี่น้องประชาชนที่เคารพ มีอีกหลายประเด็นที่อยากให้ช่วยทบทวน อยากให้ช่วยคิดว่า สิ่งที่บางคนคิดดังๆ ออกทางสื่อนั้น อยู่บนพื้นฐานหลักฐานและเหตุผลที่ถูกที่ควรหรือไม่อย่างไร หลายคนมักพูดติดปากว่า รัฐบาลและคสช.มีการจำกัดเสรีภาพ ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ ให้ถ่องแท้ว่า คงไม่ได้พูดถึงการละเมิดสถาบัน คงมีอยู่ บุคคลธรรมดา เรายังมีกฎหมาย เรื่องการฟ้องหมิ่นประมาท แต่เราต้องดูแลสถาบัน อันเป็นที่เคารพศรัทธาของคนไทย กฎหมายฉบับนั้นมีไว้เพื่อปกป้องสถาบัน และพระองค์ท่านปกป้องพระองค์เองไม่ได้ ดังนั้น สถาบันมีแต่พระเมตตาตลอด มีการลดโทษ มีการนิรโทษให้ตลอดมา หลายคนก็เคยตัว วันนี้ มันเป็นหน้าที่ของประชาชนไทยทุกคน อย่าปล่อยให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่เลยครับ อย่าแชร์ อย่าแพร่ มันผิดกฎหมายเป็นปัญหาอีก ดังนั้น ต้องแยกให้ออกในประเด็นเสรีภาพ สิทธิต่างๆ ที่ว่ามานั้น ประเด็นการสร้างความวุ่นวาย การปราศรัยที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาท หมิ่นสถาบัน โดยการขาดการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง ไร้ความเชื่อถือเหล่านั้น นอกจากจะเป็นการละเมิดกฎหมาย สิทธิผู้มีอื่นแล้ว มีการกีดขวางการจราจร การใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อการชุมนุม หากไม่มีการขออนุญาตล่วงหน้า ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายนะครับ กฎหมายออกมาแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องมีกำหนดเวลา มีจำนวน มีสาเหตุประเด็น ทั้งหมดต้องมีกติกา อย่ามองรัฐธรรมนูญอย่างเดียวว่าทุกคนมีสิทธิ แต่กฎหมายยังมีข้างล่างอีกหลายตัว อ้างอันบนอันเดียวทับอันล่าง งั้นไม่ต้องมีกฎหมายแล้ว ที่มีปัญหาทุกวันนี้ เป็นการดำเนินการที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเกือบทั้งสิ้น หวังผลทางการเมืองด้วย อาจเดือดร้อนจริง แต่มีการเมืองและกลุ่มใช้ประโยชน์ด้วย เอาความเดือดร้อนของประชาชนมาเป็นประโยชน์ตนเองในการสร้างความชอบธรรม

พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน รัฐบาลและ คสช. ยืนยันว่า การเป็นประชาธิปไตยของไทยนั้นจะต้องไม่เป็นประชาธิปไตยที่ล้มเหลว จะต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีรัฐบาลซึ่งยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล นำพาให้ชาติมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ภายใต้ศาสตร์พระราชาให้ได้ โดยผมอยากฝากประเด็นคำถามไว้ 4 ข้อ เพื่อรับทราบความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน และนำมาพิจารณาแนวทางการทำงานต่อไป คือ

1. ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่

2. หากไม่ได้ จะทำอย่างไร

3. การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง และ

4. ท่านคิดว่ากลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาซ้ำอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร ก็ขอให้ส่งคำตอบและความคิดเห็น มาทางศูนย์ดำรงธรรมในทุกจังหวัด แล้วให้กระทรวงมหาดไทยรวมรวมส่งมา ผมยินดีรับฟัง

คำต่อคำ : รายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” 26 พฤษภาคม 2560

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน จากเหตุการณ์ระเบิดในอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรุงเทพมหานคร และที่ ต.สะเตงนอก อ.เมืองยะลา จ.ยะลา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โปรดเกล้าให้ผู้แทนพระองค์นำสิ่งของพระราชทานเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ เป็นขวัญกำลังใจแก่ประชาชน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพลเรือน ตลอดจนผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ และช่วยให้สังคมไทยนั้นกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเร็ววัน หากพี่น้องประชาชนติดตามข่าวสารมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและทั่วโลก จะรับรู้ถึงเรื่องราวการใช้ความรุนแรง และการสร้างความหวาดกลัวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยล่าสุดเป็นการก่อการร้ายในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เมืองมาลาวี บนเกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ และสถานีขนส่งกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย ทั้ง 3 เหตุการณ์นั้น และความไม่สงบที่อื่นๆ ทั่วทุกมุมโลกในห้วงที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยเองก็ได้แสดงความเสียใจในความสูญเสีย เสียใจต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นอีกด้วย รวมทั้งได้ร่วมประณามการกระทำดังกล่าว

ดังนั้น ผมอยากให้ทุกสถานการณ์ในทุกสถานที่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใหญ่หรือเล็ก ช่วยกันผลักดันให้ทุกภาคส่วนทั้งคนในชาติ และเพื่อนบ้าน ชาติพันธมิตร ได้มีการกระชับความร่วมมือหันหน้าเข้าหากัน เพื่อแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนตลอดไป

ทั้งนี้ ปัญหาความไม่มั่นคงทุกรูปแบบนั้น จะย่อมบั่นทอนการเจริญก้าวหน้า และการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมทั้งของไทย และประชาคมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับงานด้านข่าวกรองนั้น ทางหน่วยงานความมั่นคงก็ได้ปฏิบัติการมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการทำงานของประชาคมข่าวกรอง ที่ได้มีกระบวนการตามวงรอบข่าวกรองอย่างรัดกุม มีการวิเคราะห์คัดกรองข้อมูลทั้งจากแหล่งข่าวเปิดและทางปิดจำนวนมาก เพื่อกำหนดความน่าเชื่อถือแต่ละข่าวได้ ไม่ใช่เอาข่าวลือ หรือข่าวที่พูดต่อกันไปมา ปากต่อปากมาคิดเอาเองวิเคราะห์เอาเอง ที่สำคัญการข่าวกรองจะต้องแม่นยำ และทันเวลา ทันสู่การปฏิบัติได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากที่อาจจะทำได้ไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ เช่น การกำหนดมาตรการระวังป้องกันต่อเป้าหมาย หรือพื้นที่เสียงต่อการเกิดเหตุ พร้อมทั้งหน่วยงานความมั่นคงจะต้องกำหนดมาตรการในการปฏิบัติทั้งก่อน ระหว่าง และหลังเกิดเหตุการณ์ เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นแล้ว เพื่อจะเป็นกระบวนการสืบสวนสอบสวนต่อไป เพื่อจะหาผู้กระทำผิด มาลงโทษให้ได้ ซึ่งจำเป็นจะต้องมีความชัดเจนด้วยพยานหลักฐาน ทั้งบุคคล และวัตถุพยาน การทำงานของหน่วยงานการข่าว และหน่วยงานความมั่นคง และเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนนั้น จำเป็นต้องมีความสอดคล้องมีขั้นมีตอน และต้องทำงานอย่างรอบคอบ รัดกุม ไม่ทำตามกระแส ที่สำคัญประชาชนทุกคนต้องเข้าใจต้องช่วยกันเฝ้าระวัง บ้านเมืองของเรานั้นยังคงมีผู้ประสงค์ร้ายทำลายประเทศอยู่ ถ้าหากว่าทุกคนได้ช่วยกันจะทำให้งานการข่าวของเราดีขึ้น และสามารถจะกำจัดคนเหล่านี้ให้หมดไปให้ได้โดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคง ปัจจุบันมีข้อมูลเครือข่ายการก่อเหตุร้ายอยู่เป็นจำนวนมาก ในหลายๆ พฤติกรรมทั้งกลุ่มบุคคล และบุคคล แต่เราจะต้องดำเนินการพิสูจน์ทราบให้ได้ชัดเจนก่อน และต้องระมัดระวังในเรื่องของการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การที่จะให้มีข่าวออกมาก่อนมันเป็นไปไม่ได้ทุกเรื่อง ทั้งนี้ผมไม่อยากให้สังคมมองว่า การข่าวของรัฐนั้นล้มเหลว เพราะงานข่าวกรองไม่มี 100% อยู่แล้ว ที่ผ่านมาเราต้องทำให้มากที่สุด ใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุดจากงานด้านข่าวกรอง ซึ่งเราทำมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าเราสามารถป้องกันได้ก่อน มันจะเป็นการดี หลายเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้น และไม่เป็นข่าว เพราะเหตุมันไม่เกิด ก็ต้องไปมองว่า เอ๊ะตรงนั้นเขาทำได้ดีแล้ว มันมีบางส่วนที่มันอาจจะยังไม่ 100% ต้องเห็นใจซึ่งกันและกันนะครับ ฝ่ายผู้ไม่หวังดีมีกระบวนการ วิธีการคิดที่แตกต่างกันอยู่ ทั้งทำเองบ้าง จ้างวานบ้าง สั่งการบ้างอะไรทำนองนี้ เพราะฉะนั้นบ้านเมืองเราต้องขจัดคนเหล่านี้ออกไปให้ได้ ขอให้ช่วยกัน เป็นหูเป็นตา เป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่รัฐบ้าง ทุกคนก็ต่างทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ คนไม่ดียิ่งมาก เจ้าหน้าที่ยิ่งเหนื่อยหนัก และผลกระทบทางสังคมก็มากขึ้น

เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการรักษาความสงบสุขของสังคม และความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ช่วยเป็นกำลังใจให้กันและกันนะครับ ขอให้ประชาชนทุกคนนั้นได้ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินทุกคนตลอดไป คสช.ได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินเป็นระยะเวลาครบ 3 ปีแล้ว ภายใต้สภาพแวดล้อม ความไร้เสถียรภาพภายในประเทศ ซึ่งทุกคนรับรู้รับทราบกันดีอยู่แล้ว ผนวกกับเกิดความไม่มั่นคงของโลก ตามที่ยกตัวอย่างไปขั้นต้น ส่งผลกระทบโดยตรง โดยอ้อมด้วยต่อการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชน และเป็นแรงกดดันให้กับเจ้าหน้าที่ และประกอบกับมีปัญหาซ้ำเติมมาด้วย เรื่องปัญหาปากท้อง ทำให้เกิดความยุ่งยากในการบริหารงาน มากกว่าในสถานการณ์ปกติ ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลนี้มีภารกิจมากมาย อาจจะมากกว่ารัฐบาลต่างๆ ที่ผ่านมา เพราะมันเป็นรัฐบาลที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งเป็นมาหลายปีแล้ว และเป็นรัฐบาลที่เป็นความหวังของคนไทยส่วนใหญ่ทั้งประเทศ อีกอย่างน้อย 3 ประการด้วยกัน คือ 1.การแก้ปัญหาต่างๆ ที่หมักหมมมายาวนานในอดีต มันต้องแก้ทั้งระบบ แก้ปัญหาองค์รวม และปัญหาปลีกย่อยอีกด้วย 2.เรื่องการปฏิรูปประเทศมีทั้งหมด 11 ด้าน และ 3. การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งเป็นการวางรากฐานในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่เราคาดหวังว่าอยากให้มันเกิดขึ้นในอนาคตให้ได้ และทำไปตามนั้นให้ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นพื้นฐานในการวางกรอบยุทธศาสตร์ชาติ และการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่นำมิติความมั่นคงมาร่วมในการพิจารณาด้วย อย่าไปมองด้านใดด้านหนึ่ง มันเกื้อกูลซึ่งกันและกันทั้งหมด ความมั่นคง เศรษฐกิจ กระบวนการยุติธรรมทั้งหมด มันมีผลกระทบทั้งสิ้น

รวมทั้งในเรื่องของการการส่งเสริมให้ประชาชนชาวไทย และประชาคมโลกได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการประยุกต์ศาสตร์พระราชาดังกล่าว ไปใช้ในการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนา SDG 2030 ของสหประชาชาติอีกด้วย ถึงแม้ว่าปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเป็นอุปสรรคกีดขวางการทำงานของรัฐบาล และ คสช. แต่ไม่ได้นำไปสู่ความล้มเหลวแต่อย่างใด ผมอยากยืนยันอย่างนั้น รัฐบาลสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศจากจีดีพีร้อยละ 0.1 ในครึ่งแรกของปี 2557 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.8 ในปี 2558 นี่คือ ก่อนหน้าที่เราเข้ามา แล้วเราเข้ามาแล้วในปี 2557 ในเดือนพฤษภาคม และมีการขยายตัวต่อเนื่องตามศักยภาพ และภายใต้ข้อจำกัดทั้งจากภายใน และภายนอกประเทศ เป็นร้อยละ 3.2 ในปี 2559 และร้อยละ 3.3 ในไตรมาสแรกของปีนี้ ผมอยากจะย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระดับของความเข้าใจ ไว้ใจ และความร่วมมือของพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกฝ่าย ที่จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จอย่างแท้จริง และผมเองเชื่อว่า เมื่อสุขภาพกายและใจของเราดีเข้มแข็งแล้ว มันจะเป็นภูมิต้านทานคุ้มกันเราให้ปราศจากโรคภัย และเชื้อโรคจากภายนอกได้

ทั้งนี้ ในการรายงานผลความคืบหน้าการบริหารราชการแผ่นดินครบรอบ 3 ปี ของรัฐบาล และ คสช.นั้นผมคิดว่า ขณะนี้ยังไม่จำเป็นนะครับ อาจจะไม่เป็นประโยชน์มากนัก เพราะเราได้พยายามสร้างการรับรู้มาอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร แต่เราทำทุกอย่างมาโดยตลอด แต่ยังมีผู้ที่พยายามรอจังหวะและโอกาสในการที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริง บั่นทอนกันเอง

ทั้งนี้ คงไม่ใช่เป็นการติเพื่อก่อ แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ โดยไม่ผ่านกระบวนแสวงหาข้อมูลที่ครบถ้วน ไม่ฟัง ไม่อ่าน เลยไม่มีข้ามูลที่รอบด้าน หยิบเอาเฉพาะบางประเด็น ซึ่งเป็นรายละเอียดที่ต้องแก้ไขอยู่มาโจมตี จนงานใหม่ หรืองานใหญ่ทำไม่ได้ เมื่องานเล็กทำไม่ได้ งานใหญ่มันก็ไปไม่ได้เหมือนกัน เพราะอยู่ในกลุ่มงานเดียวกัน เพราะฉะนั้นอยากจะฝากว่า หากพี่น้องประชาชนได้มีการติดตามการดำเนินการของทุกกระทรวง หรือทุกหน่วยงานตามนโยบายรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ความพยายามเหล่านั้นที่ไม่เป็นกุศล ไม่มีเจตนาดีเหล่านั้น มันคงไม่ส่งผลกระทบใดๆ เพราะเราต้องอยู่กันบนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้ใจที่พี่น้องประชาชน ให้โอกาสผม รัฐบาล และ คสช. ได้ทำงานตามที่ได้แถลงไว้ตั้งแต่ต้น

สำหรับพี่น้องสื่อมวลชนนั้น ผมอยากจะขอร้องขอให้ทบทวน ได้มีการปรับทัศนคติใหม่ เราคิดอย่างเดิมทำอย่างเดิมกันไม่ได้แล้วต่อไปในช่วงนี้ หรือช่วงหน้าด้วย จากเดิมบางส่วนอาจจะเข้าใจกันว่า เราจำเป็นต้องรายงานข่าวให้ดึงดูดให้โดนใจ โดยอาจจะละเลยจรรยาบรรณของสื่อไปบ้าง แบบนี้เป็น การขายข่าว ไม่ใช่การขายความรู้ ประชาชนอาจจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการทำงานของท่านเลย สื่อที่ดีๆ มีอีกมากมาย ผมก็เห็นว่าพี่น้องประชาชนในปัจจุบันนั้นมีการศึกษาสูงขึ้น วุฒิภาวะเพียงพอ มีความรู้เท่าทันและรู้จักการตรวจสอบมากขึ้น น่าจะสามารถแยกแยะในการเสพสื่อที่มีความรับผิดชอบ สื่อที่มีคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น คงมีคนหรือสื่อส่วนน้อยเท่านั้น ที่อาจจะยังไม่พัฒนาตนเอง ชอบความขัดแย้ง ไม่เปิดรับความเห็นต่างๆ ที่มีหลายด้านด้วยกันมาประมวลประยุกต์ เพื่อจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง ให้กับสังคม

เพราะฉะนั้นอาจจะยังนิยมสื่อ หรือนิยมการเสนอข่าว ขายข่าวแบบเดิมๆ ที่อาจจะมีผลเสียในเรื่องของการทำลายประเทศในด้านต่างๆ ทำลายสังคม บั่นทอนบรรยากาศความปรองดองของคนในชาติ บรรยากาศของความมีเสถียรภาพในการลงทุน ในด้านเศรษฐกิจด้วย โดยอาจจะมีทั้งเจตนา ไม่เจตนา หวังดี ไม่หวังดี ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่ยอมให้มีการตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น แล้วข้อสำคัญคือ ไม่มีความรับผิดชอบ รัฐบาลต้องแบกรับปัญหาเหล่านี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วทำงานได้ช้า ช้าเกินไป เราต้องมาช่วยกันคิดว่า จะป้องกันเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร

พี่น้องประชาชนที่รักครับ ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านการปฏิรูปประเทศเช่นนี้ ประเทศชาติของเรานั้น เราต้องการมีความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งโดยเนื้อแท้ แล้วนั้น เราไม่ควรจะถือเอาว่า การเลือกตั้งคือประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ หรือไม่สนใจแต่เพียงการมีอำนาจอธิปไตยจากฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ แต่หากเราไม่มีการตรวจสอบได้ ถ่วงดุลกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้รัฐบาลจำเป็นต้องปลูกฝังสิ่งเหล่านั้น กำลังปลูกฝัง เร่งสร้างบรรทัดฐานใหม่ ที่เราอาจจะห่างหายลืมเลือน หรือขาดแคลนบนเส้นทางของการพัฒนาที่ทรงพลัง และยั่งยืนอัน อันได้แก่นะครับ 1.การพัฒนาที่ยั่งยืนและทั่วถึง โดยเราอาจจะวัดได้จากความสุขมวลรวมประชาชาติ แทนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่มุ่งสร้างอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ให้ความสำคัญกับตัวเลข แต่ละเลยมิติด้านคุณภาพ เช่น การอัดฉีดมาตรการประชานิยมที่ไม่เป็นประโยชน์ ไร้วินัยทางการคลัง ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ไม่ยั่งยืนและกลับสร้างปัญหามากมายในภายหลัง โดยรัฐบาลนี้ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น

1. การสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในสังคม ยุติยับยั้งกิจกรรมที่ผิดกฎหมายของผู้ที่มีอิทธิพล มาเฟีย เร่งขจัดปัญหายาเสพติด รวมไปถึงการจัดระเบียบสังคมในเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อยน่าอยู่ มีวัฒนธรรม

2. การจัดระเบียบชุมชนริมคลองลาดพร้าว และคลองบางซื่อ มีเป้าหมาย 52 ชุมชน 7,000 กว่าครัวเรือน ซึ่งดำเนินการไปแล้ว 9 ชุมชน 700 กว่าครัวเรือน

3. การฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 1 ซึ่งมีความคืบหน้าร้อยละ 12 เร็วกว่าแผนที่วางเอาไว้ คาดคะเนว่า จะแล้วเสร็จและผู้อยู่อาศัยเดิม สามารถย้ายเข้าไปสู่ได้ประมาณเดือนมิถุนายนปีหน้า

4. การส่งเสริมการออมผ่านกองทุนการออมแห่งชาติเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงอายุ เพิ่มช่องทางการออมหลังเกษียณ ตั้งแต่อยู่ในวัยทำงานเกือบ 40 ล้านคน ทั้งแรงงานใน และนอกระบบ

5. การพักหนี้ และการปรับโครงสร้างหนี้เกษตรกร ยอดมูลหนี้กว่า 3 แสนล้านบาท เป็นต้น

สำหรับกรณีการปฏิรูประบบสาธารณสุข การบริการประชาชนในโครงการบัตรทอง เราก็ต้องมาดูว่าที่ประชาชนไม่ได้รับการบริการที่ดีเพียงพอ เราต้องมาร่วมพิจารณาดูว่า งบประมาณด้านสาธารณสุขนั้นต้องใช้ในงานอะไรบ้าง เช่น 1. บุคลากรทางการแพทย์ 2. ค่ารักษาพยาบาลคนไทยกับ 70 ล้านคน ซึ่งมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก และเข้ามารับบริการทั้งหมดโดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย 3. งบประมาณในการพัฒนาปรับปรุงโรงพยาบาล สถานพยาบาลรัฐ เครื่องมือทางการแพทย์ 4. งบประมาณผลิตบุคลากร งบประมาณบริหารงาน 5. งบประมาณค่ายา ทั้งยาทั่วไป ราคาปกติ ราคาแพง ใช้ตามการวินิจฉัยของแพทย์ และตามระยะของโรค งบประมาณเหล่านี้ถือว่าสูงมาก อย่างไรก็อาจจะไม่พอในขณะนี้ เพราะว่าโรงพยาบาลมีรายได้จำกัด รัฐบาลก็มีรายได้จำกัด หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มันใช้มากเกินไป ก็ย่อมมีผลกระทบซึ่งกันและกัน แต่รัฐบาลนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องมีความรับผิดชอบ ดังนั้นเราคงต้องมาพิจารณาร่วมกันให้ดี ในการใช้จ่ายงบประมาณทั้งจากรัฐ และงบประมาณของ สสส. ที่จะต้องนำมาพิจารณาร่วมกันให้สอดคล้อง ไม่เช่นนั้นจะแก้ปัญหาเหล่านั้นไม่ได้เลยทั้งสิ้น

เรื่องการใช้ยาแพงรักษาพยาบาลในการใช้บัตรทองเป็นปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกัน อาจจะทำให้คนเข้าไม่ถึงยาราคาแพงเหล่านั้น เพราะงบประมาณมีจำกัด รัฐบาลก็ต้องมาหาวิธีแก้ วันนี้ก็เริ่มแก้โดยเร่งรัดส่งเสริมการผลิตยา หรือวัคซีนบางประเภทเอง และนำมาใช้ให้ได้เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงยาราคาแพงเหล่านั้นเพราะเราซื้ออย่างเดียวมันไม่ได้แล้วต่อไปนี้ ก็ฝากคณะกรรมการทางการแพทย์ให้ช่วยกันมาดูตรงนี้ด้วย เราจะลดค่าใช้จ่ายอะไรตรงนี้ได้บ้าง ทำอะไรขึ้นมาเองบ้าง คงต้องมาช่วยกันจะเห็นได้ว่าเรื่องนี้รัฐบาลได้มองในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบรรจุข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงาน การผลิตยา การซื้อยา การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายโรงพยาบาล สถานพยาบาล การควบคุมราคายา การผลิตยาเอง หรืออื่นๆ หากแก้ไขทั้งระบบด้วยความเข้าใจด้วยความร่วมมือมากกว่าที่เราจะติติงว่า อะไรก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่ใช่ ไม่เห็นใจ ไม่เข้าใจกัน ก็แก้อะไรกันไม่ได้หรอก ทุกคนก็มีความต้องการงบประมาณทั้งสิ้น แล้วมันไปมามันก็มีผลกระทบกันไปมาจนยุ่งเหยิง เราต้องช่วยกันแกะออกมาแล้วช่วยกันคิดช่วยกันทำ ทั้งรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการยา สสส. แพทยสภา บุคลากรทางการแพทย์ทุกประเภท กว่าเราจะแก้ไขปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการด้านสาธารณสุขอย่างไร อันนี้เราหมายความถึงด้านอื่นๆด้วยนะครับ ทุกกระทรวง ทุกกลุ่มงาน

ปัจจุบันนั้นกระทรวงสาธารณสุขก็ได้จัดโครงการแพทย์ชุมชนออกเยี่ยมเยียนตรวจจ่ายยาในทุกพื้นที่ เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องเสียเวลามารอที่โรงพยาบาล เสียเวลาเดินทาง ก็คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง จึงจะทำได้ครบทุกพื้นที่ โดย 1 ชุดนั้นจะรับผิดชอบประชาชน 30,000 คน และเราก็จะต้องเร่งการพัฒนายาสมุนไพรราคาถูกเพื่อใช้รักษาพยาบาลในขั้นต้น ป้องกันตนเองไว้ก่อน ก่อนที่จะเป็นมากขึ้น การเจ็บป่วยจะร้ายแรงมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญก็ที่จะทำให้เราไม่ต้องใช้ยา ไม่สิ้นเปลือง ไม่ต้องหาหมอ ก็คือทำให้ตนเองแข็งแรง นโยบายรัฐบาลก็ไห้ทุกคนออกกำลังกาย ลดการป่วยเจ็บรักษาตัวเองให้ได้ก่อน

2. การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งนั้น เราต้องทำด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ส่วนใหญ่ที่เราทำวันนี้ก็จำเป็นต้องทำเพื่อเป็นการลงทุนในอนาคตไปด้วย จากแทบไม่เคยมีผลการดำเนินการในโครงการใหญ่มาเลยนะครับ ในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าที่เราทำวันนี้ยังไม่เห็นผลในวันนี้ หลายคนอาจจะมองว่าเราลงทุนมากเกินไปหรือเปล่า ขาดทุน แต่เราต้องทำระยะยาวนะครับ ถึงจะเกิดผล ถ้าทำสั้นๆ เราก็ได้ผลตอบแทนน้อย ไม่มากนะครับ แต่ที่เราทำในวันนี้ ก็จะเป็นกำไร หรือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต ประเทศชาติก็มีรายได้มากขึ้น กลับมาดูแลประชาชนได้มากยิ่งขึ้น พัฒนาประเทศได้มากยิ่งขึ้น เช่น

1. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ในภาพรวมนะครับ ทั้งรถไฟความเร็วสูง โครงข่ายรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ การขยายท่าเรือ ท่าอากาศยาน และมอเตอร์เวย์ เป็นต้น ระยะเร่งด่วนปี 2559 จำนวน 20 โครงการ 1.38 ล้านล้านบาท และแผนในปีนี้ จำนวน 36 โครงการ 8.95 แสนล้านบาท

2. โครงการอินเทอร์เน็ตประชารัฐระยะ 2 ปี 40,000 หมู่บ้าน เดิมก็มีประมาณ 30,000 กว่าหมู่บ้าน วันนี้ก็ต้องเพิ่มเติม เอกชนก็ไม่ลงทุน เนื่องจากไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาล เมื่อเราไปส่งเสริมเศรษฐกิจแล้ว ก็ต้องมาเพิ่มเรืองดิจิตอลเข้าไปด้วย เพื่อเสริมซึ่งกันและกัน ก็จำเป็นต้องลงทุน รัฐบาลไม่สามารถทิ้งใครไว้ข้างหลังได้อีกต่อไป

3.การส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทุกประเภท ในปี 2559 มีจำนวน 37 โครงการ วงเงิน 5,000 ล้านบาท มีผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ได้รับประโยชน์มากกว่า 2 แสนราย ซึ่งที่ผ่านมานั้น เอสเอ็มอีมีการฟื้นตัวได้ช้า เนื่องจากส่วนใหญ่ที่ผ่านมายังไม่แข็งแรงมากนัก ฐานะทางการเงินไม่ดีนักนะครับ ขาดสภาพคล่อง ขาดมาตรการลดความเสี่ยง แล้วก็มีอีกหลายปัจจัยด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผลิตสินค้าเดิมๆ ที่แข่งขันกับใครไม่ได้ ไม่มีการสร้างนวัตกรรมสินค้าใหม่ๆ ออกมา เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ขาดความรู้ ในการบริหาร ในการประกอบการ ความรู้ในด้านระบบบัญชี ระบบภาษี ที่เรียกว่าการดำเนินการยังไม่เป็นมืออาชีพ

ปัจจุบัน รัฐบาลกำลังเร่งแก้ไข ฟื้นฟู สภาพเหล่านั้นให้ได้ ด้วยการจัดตั้งกองทุน หลายหมื่นล้านบาท หลายประเภทด้วยกัน เพื่อจะฟื้นฟู ปรับปรุงเอสเอ็มอี หรือให้สามารถขยายกิจการเดิม ให้อยู่ต่อไปได้ โดยใช้ความรู้ต่างๆ ที่กล่าวไปแล้วนะครับ รวมทั้ง แสวงหาโอกาสเพื่อจะเข้าร่วมในห่วงโซ่เดียวกับสถานประกอบการขนาดใหญ่ ซึ่งก็เป็นปัญหาของเอสเอ็มอีไทยมายาวนาน ที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ และรัฐบาลนี้ก็ได้เข้ามาจัดระเบียบใหม่ทั้งหมด ก็คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง หลายสถานประกอบการก็ยังเข้าไม่ถึงดังกล่าว ก็เป็นระยะๆ ไป ทุกคนก็ต้องปรับตัวเองด้วย

ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปเลยนะครับ หรือมองว่ารัฐบาลนี้ ไม่แก้ไข ไม่ดูแลเอสเอ็มอี เข้าอีก ยิ่งกว่านั้นปัญหาแบบนี้นะครับ ลักษณะใกล้เคียงกันแบบนี้ มีมากมาย เพราะอยู่กันมาท่ามกลางความไม่พร้อม ท่ามกลางการไม่มีการบริหารจัดการที่ดี ก็เลยทำให้ทุกระบบของประเทศไทยค่อนข้างจะมีปัญหา ถ้าหากว่าเราลงรายละเอียดกันบ้าง หรือจริงจังกับการแก้ปัญหา ไม่ใช่เป็นการแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือการใช้จ่ายงบประมาณรัฐที่ไม่คุ้มค่า ก็แก้ปัญหาเป็นปีๆ ไป ก็ไม่เกิดความยั่งยืน ไม่เกิดความต่อเนื่อง ฉะนั้นการแก้ปัญหาจำเป็นต้องแก้ปัญหาตลอดเวลา อย่างต่อเนื่องทุกสถานการณ์ ทุกห้วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ภายใน ภายนอก

สำหรับเงินในระบบเศรษฐกิจฐานราก ที่เรามองว่า ทำไมคนจนมากขึ้นหรือเปล่า ผมยอมรับนะครับว่าวันนี้อาจจะต้องน้อยลงเพราะว่าเงินจากธุรกิจสีเทา หรือสีดำ ที่ออกมาหมุนเวียนในพื้นที่น้อยลง จากการปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายมากขึ้น การจับกุมดำเนินคดีในการหลอกลวง ต่างๆ มากขึ้น คดีทุจริตต่างๆ ถูกนำเข้าพิจารณามากขึ้น เงินจำนวนนี้ก็หายไป ก็แน่นอนครับ มีคนจำนวนมากที่เคยได้รับประโยชน์ในเงินส่วนนี้ ต้องเกิดปัญหาแน่นอน เพราะมันเป็นเงินที่ผิดกฎหมายที่มาหมุนเวียนอยู่ในห่วงโซ่ ของการใช้จ่ายในภาคประชาชนนะครับก็แน่นอน ต้องลดลง ก็เดือดร้อน ก็อาจจะมองว่า รายได้ไม่ดีขึ้น หาการหางานทำยาก แต่ก็เป็นงานที่ผิดกฎหมาย ที่ผ่านมาก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวกันไปทำงานที่ถูกกฎหมาย อาจจะลำบากหน่อยในช่วงนี้

สำหรับการกำหนดทิศทางในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น เราจำเป็น ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และ แนวโน้มของโลกในภาพรวมด้วย รัฐบาลนี้ ให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือ ในรูปแบบ หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยง ห่วงโซ่คุณค่า และเพิ่มพลังในการขับเคลื่อนของทุกประเทศภาคีเครือข่าย ให้ เข้มแข็งไปพร้อมๆ กัน (Stronger together) อาทิ

แผนงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ที่เรียกว่า IMT-GT ก็ถือว่าเป็นอนุภูมิภาคที่สำคัญ ที่จะสนับสนุนบทบาทของประชาคมอาเซียน โดยมุ่งดำเนินการใน 3 ประเด็นหลักๆ คือ

(1) การสร้างความเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ได้แก่ การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลก และสะพานระหว่างเมืองรันเตาปันยัง อ.สุไหงโกลกแห่งที่ 2 โครงการทางหลวงพิเศษหาดใหญ่ - สะเดา - สตูล - ปะลิส และการสร้างรถไฟทางคู่, การพัฒนาท่าเรือสำราญที่กระบี่ และ สุราษฎร์ธานี การจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าทุ่งสง และการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง เป็นต้น

(2) การปรับปรุงกฎระเบียบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ได้แก่ ความตกลงด้านการขนส่งข้ามแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย การให้บริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ รถบัส และรถตู้บริการนักท่องเที่ยว การอำนวยความสะดวกด้านศุลกากรตรวจคนเข้าเมือง และตรวจโรคพืชและสัตว์ เป็นต้น รวมทั้ง

(3) การพัฒนาด้านนวัตกรรมในลักษณะเดียวกับนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 ของเรา การลงทุนโครงข่ายระบบข้อมูลสารสนเทศ และการพัฒนาเมืองสีเขียวที่ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์ระหว่าง 14 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย กับ 8 รัฐของมาเลเซีย และ 10 จังหวัดในเกาะสุมาตรา ของอินโดนีเซีย กับห่วงโซ่มูลค่าในระดับอาเซียน รวมทั้ง ตลาดสำคัญในภูมิภาค และโลก อีกต่อไป

อีกทั้งการเชื่อมโยง (Connectivity) ของ 64 ประเทศ ทั้งในเอเชีย - แอฟริกา - ยุโรป รวมทั้งจีน ตามยุทธศาสตร์ One Belt One Road นั้นก็เพื่อจะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการพัฒนา เชื่อมโยง เครือข่ายคมนาคมและ โครงสร้างพื้นฐาน โดยโครงการรถไฟจีน - ไทย นั้นถือเป็น 1 ใน 10 โครงการสำคัญ ตามยุทธศาสตร์นี้นะครับ ซึ่งเราจะต้องเร่งดำเนินการ เป็นการเชื่อมโยงการขนส่งทางราง กับ เส้นทางรถไฟจีน - ลาว ที่เป็นเส้นทางสำคัญ ในเครือข่ายระบบรางของเอเชีย (Pan-Asia Railway Network) และเส้นทางรถไฟสายด่วน จีน - ยุโรป ที่เป็นเส้นทางขนส่งผู้โดยสาร และสินค้า จากจีนสู่ยุโรป รวมทั้ง ส่งเสริมการถ่ายโอนด้านการลงทุน, ทรัพยากร, เทคโนโลยี และแรงงานที่มีทักษะ ในอนาคตอีกด้วย นะครับ ขอให้ช่วยกันสนับสนุนนะครับ ให้เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็ว อย่ามัวคัดค้านกันอยู่เลย เสียเวลานะครับ

3. การเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐ มีประเด็นสำคัญๆ ที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ ได้แก่

(1) การป้องกันการทุจริตโดยได้ผลักดัน พ.ร.บ. การอำนวยความสะดวก ในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 และ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เป็นต้น

(2) การส่งเสริมและการอำนวยความสะดวก ในการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ของประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ โดยวางโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายด้านการเงินการคลัง เช่น ร่าง พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน, ร่าง พ.ร.บ. วินัยการคลังของรัฐ และ กฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ เป็นต้น รวมทั้ง ได้มีการเพิ่มเติม

(3) ก็คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เช่น ความยากง่ายของการประกอบธุรกิจในประเทศไทย และการอำนวยความสะดวกในการนำเข้าและส่งออก โดยเร่งรัดโครงการ National Single Window นะครับ ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ภายในปลายปี 2561 ซึ่งจะมีความพร้อมรองรับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ ให้สามารถลดขั้นตอน ด้วยการการบันทึกข้อมูลเพียงครั้งเดียว แล้วสามารถนำข้อมูลดังกล่าวนั้นไปจัดทำใบอนุญาต ใบแจ้งการนำเข้าส่งออกสินค้า พร้อมทั้งสามารถส่งข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทันที เป็นต้น

นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลภาครัฐ เช่น โครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ ซึ่งเน้นการจัดหาบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และสมรรถนะสูง เข้ามาสู่ระบบราชการ โดยได้รับการพัฒนาและการศึกษาอบรม อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยการทำงานจริง พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการสร้างแรงจูงใจ การให้ค่าตอบแทน และสิทธิประโยชน์ ให้เหมาะสมกับลักษณะของงานและความเชี่ยวชาญ ในทุกระดับ ทั้งนี้ เป็นแนวทางการบริหารจัดการข้าราชการรุ่นใหม่ เพื่อรองรับการปฏิรูประบบราชการไทย ในอนาคต สอดคล้องกับการปฏิบัติงานในยุคดิจิทัล และตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ด้วย

ในเรื่องของการนำบุคคลภายนอกทั้งภาคเอกชน ธุรกิจ หรือบุคคลากรทางการศึกษา จากในประเทศและต่างประเทศ มาช่วยในการปฏิรูป ก็เป็นการทำในช่วงเวลาจำกัด ในสิ่งที่เราพัฒนาเองได้ช้า ต้องมีบุคลากรภายนอกมาเสริม มีบุคลากรของไทยอยู่แล้ว แต่อาจมีน้อยในบางสาขาเราก็จำเป็นเพื่อให้เขามาถ่ายทอดวิชาความรู้ เทคโนโลยีต่างๆ เมื่อของเราเข้มแข็งแล้ว ของเขาก็หมดความจำเป็นไป วันหน้าก็ไม่ต้องพึ่งใครมากนัก ผมอยากให้ทุกคนคิดแบบนี้ ถ้าเราปิดกั้นตัวเอง ไม่เปิดใจกว้าง ทุกอย่างมันเดินหน้าไปได้เร็วอย่างที่ต้องการ เราต้องเอาคนมาช่วยมากๆ เยอะๆ แต่เราต้องมีมาตรการในการที่จะทำยังไง ไม่ให้คนของเราเสียเปรียบ หรือเสียผลประโยชน์ชาติ อันนี้ รัฐบาลระมัดระวังอย่างเต็มที่ ขอให้ทุกคนคิดอย่างมีวิสัยทัศน์

สำหรับกลไกประชารัฐ เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภาครัฐได้เป็นอย่างดี ตัวอย่าง พีพีโมเดล แผนพัฒนาหมู่เกาะพีพี จากที่เคยเก็บรายได้เพียง 1 ล้านบาทต่อปี สามารถนำรายได้เข้าประเทศได้พันล้านบาท ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของราชการ ให้มีวิสัยทัศน์รู้จริง ซึ่งโปร่งใส ไม่มีทุจริต ภายใต้การร่วมมือภาคเอกชน ชุมชน และนักอนุรักษ์ธรรมชาติ

ทั้งนี้ ปัจจุบันอุทยานหาดนพรัตน์ธารา หมู่เกาะพีพี แห่งเดียวสามารถทำเงินได้ร้อยละ 20 จากอุทยาน 149 แห่ง ทั้งประเทศ นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น หากทุกอุทยานฯ ทำอย่างนี้ได้ ทุกอย่างจะดีขึ้นตามลำดับ และถ้าหน่วยงานภาครัฐได้รับการเพิ่มเติมศักยภาพ และเติมเต็มด้วยกลไกประชารัฐ ประเทศของเราจะสามารถจะขับเคลื่อน ก้าวข้ามกับดักต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และ

4. การส่งเสริมหลักนิติรัฐ นิติธรรมในสังคมไทย ซึ่งให้ความสำคัญระหว่างรัฐกับผู้แทนอำนาจรัฐ และการปกป้องสิทธิพื้นฐานของประชาชน โดยกฎหมายที่ดีต้องชัดเจน ต้องมีเหตุมีผล ต้องปฏิบัติได้ และนำไปสู่การยุติธรรม ตั้งแต่ความขัดแย้ง ทั้งในเชิงรูปแบบและเนื้อหา โดยช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลได้พิจารณาร่างกฎหมายไปแล้ว 401 ฉบับ มีผลใช้บังคับแล้วจำนวน 230 ฉบับ ประกอบไปด้วยการผลักดันกฎหมายใหม่ที่จำเป็น การปรับปรุงกฎหมายเดิมที่ล้าสมัย และยกเครื่องกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ทั้งกฎหมายด้านเศรษฐกิจ กฎหมายตามพันธกรณีระหว่างประเทศ กฎหมายความเหลื่อมล้ำ กฎหมายสวัสดิการและมนุษยธรรม และกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมตลอดจนเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นต้น

ทั้งนี้ ต้องให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในทุกนโยบายแล้ว การเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายข้อระเบียบทั้งปวง มีส่วนสำคัญ ช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ ปัญหาของประเทศเราที่ผ่านมา มีการสะสมถึงทุกวันนี้ มักเกิดจากความไม่เข้าใจ อ้างไม่ทราบ ไม่รู้กฎหมาย หรือเห็นประโยชน์ส่วนตัว จนมองข้ามประโยชน์ประเทศ จนนำไปสู่การละเมิดกฎหมายหลายโครงการหลายนโยบายสาธารณะของรัฐบาล ก็เดินหน้าอย่างต่อเนื่องหากทุกเข้าใจธรรมะง่ายๆ ที่ว่า หิริโอตัปปะ คือการละอายต่อบาป กลัวต่อผลของความชั่ว จะช่วยให้สังคมไทยเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น

พี่น้องประชาชนที่เคารพ มีอีกหลายประเด็นที่อยากให้ช่วยทบทวน อยากให้ช่วยคิดว่า สิ่งที่บางคนคิดดังๆ ออกทางสื่อนั้น อยู่บนพื้นฐานหลักฐานและเหตุผลที่ถูกที่ควรหรือไม่อย่างไร หลายคนมักพูดติดปากว่า รัฐบาลและคสช.มีการจำกัดเสรีภาพ ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ ให้ถ่องแท้ว่า คงไม่ได้พูดถึงการละเมิดสถาบัน คงมีอยู่ บุคคลธรรมดา เรายังมีกฎหมาย เรื่องการฟ้องหมิ่นประมาท แต่เราต้องดูแลสถาบัน อันเป็นที่เคารพศรัทธาของคนไทย กฎหมายฉบับนั้นมีไว้เพื่อปกป้องสถาบัน และพระองค์ท่านปกป้องพระองค์เองไม่ได้ ดังนั้น สถาบันมีแต่พระเมตตาตลอด มีการลดโทษ มีการนิรโทษให้ตลอดมา หลายคนก็เคยตัว วันนี้ มันเป็นหน้าที่ของประชาชนไทยทุกคน อย่าปล่อยให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่เลยครับ อย่าแชร์ อย่าแพร่ มันผิดกฎหมายเป็นปัญหาอีก ดังนั้น ต้องแยกให้ออกในประเด็นเสรีภาพ สิทธิต่างๆ ที่ว่ามานั้น ประเด็นการสร้างความวุ่นวาย การปราศรัยที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาท หมิ่นสถาบัน โดยการขาดการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง ไร้ความเชื่อถือเหล่านั้น นอกจากจะเป็นการละเมิดกฎหมาย สิทธิผู้มีอื่นแล้ว มีการกีดขวางการจราจร การใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อการชุมนุม หากไม่มีการขออนุญาตล่วงหน้า ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายนะครับ กฎหมายออกมาแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องมีกำหนดเวลา มีจำนวน มีสาเหตุประเด็น ทั้งหมดต้องมีกติกา อย่ามองรัฐธรรมนูญอย่างเดียวว่าทุกคนมีสิทธิ แต่กฎหมายยังมีข้างล่างอีกหลายตัว อ้างอันบนอันเดียวทับอันล่าง งั้นไม่ต้องมีกฎหมายแล้วครับ ถ้าแบบนั้น

เพราะฉะนั้น ที่มีปัญหาทุกวันนี้ เป็นการดำเนินการที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเกือบทั้งสิ้น หวังผลทางการเมืองด้วย อาจเดือดร้อนจริง แต่มีการเมืองและกลุ่มใช้ประโยชน์ด้วย เอาความเดือดร้อนของประชาชนมาเป็นประโยชน์ตนเองในการสร้างความชอบธรรม

เพราะฉะนั้น ลักษณะเช่นนี้ จะอ้างว่าประชาธิปไตย อ้างสิทธิเสรีภาพ อ้างรัฐธรรมนูญต่างๆ และเราไปปิดกั้น มันคงไม่ถูก ช่องทางที่ทุกคนแสดงความคิดเห็นได้ รัฐบาลทำไว้ให้แล้ว ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567 หรือศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สายด่วน 1111 ทุกคนสามารถแจ้งเบาะแสผิดกฎหมาย แสดงข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ คำติดชมด้วยตนเอง ดังนั้น ต้องช่วยกันอย่าทำอะไรให้เสียภาพลักษณ์ เสียความอำนาจเชื่อถือของบ้านเมืองของตนเอง บางคนในสายตาต่างชาติ ก็ไปขยายความให้เขามาโจมตีประเทศไทย ไม่รู้เป็นคนไทยหรือเปล่า เพราะมันจะซ้ำเติมสถานการณ์ให้แย่ลง ก็อยากให้พี่น้องติดตามดูว่าสิ่งเหล่านี้มันสมควรหรือไม่ คนเหล่านี้คิดอะไรกันอยู่ มีความตั้งใจหรือไม่ อดีตนักการเมืองบางคนก็ออกมากดดันให้รัฐบาล คสช. ทำนี่ทำนู้น ที่ผ่านมา ปัญหาเยอะแยะ ไม่ได้ทำไม่ได้แก้ไขกันมาก่อน มาคิดได้ตอนนี้ก็มาไล่รัฐบาลนี้ให้ทำ แล้ววันหน้าท่านไม่มีอะไรทำนะครับ

เพราะฉะนั้น ผมทำเรื่องไว้ให้ แล้ววันหน้าท่านมีอำนาจหน้าที่มาทำใหม่ละกัน ให้ประชาชนตรวจสอบติดตามดูบ้าง ทุกคนน่าเปลี่ยนแนวคิดพัฒนาตัวเองบ้าง เรามาช่วยกันทำอะไรที่สร้างสรรค์ แก้ปัญหาจุดอ่อน ประสบการณ์สิ่งที่ทำมาแล้วเจอ และพบ และแก้ไม่ได้ และมาสนับสนุนให้ผมแก้ให้ได้ด้วยวิธีการที่เหมาะสม ผมรับได้หมด ด้วยการรับฟังความคิดเห็น ขอให้เสนอแนะแนวทางแก้ไขของท่านมา แต่อย่ามาโจมตีผม ว่าผมทำนี่ ไม่ทำโน้น อะไรทำนองนี้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าที่ท่านทำกันมา เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่า พวกท่านมีแนวทางบริหารจัดการปัญหาอย่างไร ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และอย่างยิ่ง เมื่อท่านได้รับการเลือกตั้งมาในวันหน้า หากได้เป็นรัฐบาล

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ความมั่นคงทางไซเบอร์ อยากให้พิจารณาถึงข้อดีข้อเสีย ถึงผลกระทบให้รอบคอบ มันไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ ทุกคนต้องการความปลอดภัยสูงขึ้น อาจต้องแลกมาด้วยเสรีภาพที่ลดลง ที่ทุกคนต้องยอมรับ ว่าแค่ไหนอย่างไร ทุกประเทศเขาก็มีเช่นนี้เหมือนกัน หน้าที่้ต้องจำกัดบางอย่างให้อยู่ในกรอบ แต่ไม่ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เป็นไปตามกฎหมาย หากทุกคนต้องการทุกอย่าง มันไม่มีใครทำไรได้ทั้งสิ้น วุ่นวาย ป้องกันตัวเองก็ไม่ได้ ป้องกันองค์กรไม่ได้ ให้ปลอดภัยจากการถูกโจมตี และการละเมิดมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทุกคนต้องมีวินัย และปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ที่วางไว้ ควรต้องเริ่มจากตัวเองก่อนเสมอ ไม่ใช่มีปัญหาอะไรก็โทษเจ้าหน้าที่ไม่ดูแล ไม่เอาใจใส่ กฎหมายมันมีแต่ไม่ปฏิบัติ มันก็แก้อะไรไม่ได้นะครับ ไม่ถูกต้อง ต้องช่วยกัน ร่วมมือกัน

สำหรับการเดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการ และติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลที่ จ.สงขลา เมื่อวันพุธที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมานั้น ผมขอบคุณนะครับ พี่้น้องประชาชน ข้าราชการ ผู้บริหาร คณาจารย์ นักวิจัย บุคลากร และนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รวมทั้งผู้ประกอบการ และผู้แทนภาคเอกชน ที่ให้การต้อนรับผมและคณะอย่างอบอุ่น สิ่งสำคัญคือการให้ความร่วมมือตามนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล จนประสบความสำเร็จจนเห็นเป็นรูปธรรม เช่น การขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0ในภาคใต้ ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรมที่สร้างสรรค์ จนหลายผลงานนำไปสู่การสร้างมูลค่าเชิงพาณิชย์แล้ว ในเรื่องการช่วยเหลือ การส่งเสริม SMEs ตามโครงการคลินิกสัญจรแนวประชารัฐ ที่พัฒนาขีดความสามารถแข่งขันของ SMEs ซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งนำไปสู่รายได้ และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและชุมชน รวมทั้งตลาดเกษตร มอ. ที่อาจมีแนวทางแตกต่างจากคลองผดุงของรัฐบาล แต่มีความมุ่งหมายเดียวกันที่จะสร้างให้กับเศรษฐกิจฐานรากและชุมชน ซึ่งนับเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง เหล่านี้เป็นต้น เป็นตัวอย่างที่ดี

หลายอย่างที่เป็นผลงานวิจัย ผมขอสั่งให้ทุกกระทรวงให้ความสนใจนะครับ สนับสนุนการผลิต การใช้งาน ต้องช่วยกันส่งเสริม ช่วยกันใช้ ผลิตให้เป็นของไทย หลายอย่างที่ผมมันเป็นประโยชน์ เกี่ยวกับการเกษตร ดิจิทัล เกี่ยวกับเรื่องสาธารณสุข ประเด็นเพิ่มเติมของผมคือ การเสนอข่าว ผมสังเกตนะเวลาผมไปเยี่ยมพื้นที่ต่างๆ ในการตรวจราชการแต่ละครั้ง ผมไม่อยากให้เป็นการนำเสนอภาพการปาฐกถา ภาพผม ภาพรัฐมนตรี เดินชมนิทรรศการ หรือการมอบทุน รางวัลเท่านั้น อย่างเมื่อวันก่อน ไปออกกำลังกายกับคนที่อยู่ตลาด ที่เขาทำกันทุกวันพุธ ผมไปพอดี เขาเชิญผมไปออกกำลังกาย เขาก็เอาภาพนี้มาออกอย่างเดียว ไม่ได้มองว่า ผมไปตลาดทำอะไร ไม่ได้มองว่า ผมไปเยี่ยม ไปให้กำลังใจเขา ไปดูตลาดประชาชนเขาของ มอ.เขาทำอย่างดี กลายเป็นว่าเอาผมไปเป็นเรื่องสนุกขบขัน ขอให้ทุกคนสนใจการเสนอข่าวที่เป็นสาระสำคัญด้วยนะ ในการนำเสนอควรมีวัตถุประสงค์ การเยี่ยมเยือน หลักการ อย่างไร วิธีการปฏิบัติอย่างไร แนวทางการผลประโยชน์ที่ได้รับ ใครได้รับจากกิจกรรมเหล่านั้นบ้าง ผมรับฟังความคิดเห็น ปัญหาใครมาบ้าง และผมได้พูดอย่างไร แก้อย่างไร ผมพูดทุกเรื่อง แต่ออกมาเรื่องผมออกกำลังกายอย่างเดียวเป็นหลัก ผมดูแล้วไม่ได้สาระ

เพราะฉะนั้น อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม ผมมุ่งหวังว่าองค์ความรู้ดังกล่าวมันจะก่อให้เกิดปัญญา สร้างความรับรู้ ความเข้าใจ ความร่วมมือจนสามารถนำไปต่อยอด สามารถดำเนินการได้เอง ในชุมชนและท้องถิ่นของตัวเอง อยากให้เสนอข่าวแบบนี้ ความจริงนั้น ผมยอมรับนะว่า ความเป็นจริงกลไกของภาครัฐไม่อาจมีความสมบูรณ์แบบได้ หลายคนติติงมา เพราะเป็นข้าราชการ หากปราศจากการเติมเต็มจากสื่อมวลชนทุกแขนง เราไม่สามารถทำได้ครบถ้วนหรอกนะ เพราะฉะนั้น เราเริ่มให้ มีข้อมูลให้ ท่านก็เอาไปช่วยขยายให้หน่อย สงสัยอะไรก็ถามมาที่เป็นประโยชน์ อันนี้ ถ้าเราร่วมมือกันได้จะเป็นการดียิ่งขึ้น รัฐบาลทำไม่ได้ทั้งหมดหรอกครับ แม้เราจะมีช่องทางการสื่อสารหลักของรัฐบาล คนไม่ดูซะอย่าง ก็ไม่รู้จะทำยังไง บังคับไม่ได้ เพราะมันออกอากาศไปไง เพราะฉะนั้น เครื่องมือและสื่อรูปแบบต่างๆ ของโฆษกรัฐบาล โฆษกกระทรวง กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานรัฐบาลเองก็ได้มีการออกอากาศ ทำงานมาโดยตลอด มีเสียงตามสาย วิทยุชุมชน หอกระจายข่าว ที่เป็นเซลล์เล็กๆ ของการประชาสัมพันธ์ เสียงแห่งความหวังดีของภาครัฐถึงหูพี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึง แต่ที่ผ่านมามีอุปสรรคในเรื่องระเบียบข้อบังคับ ด้านงบประมาณ และการบริหารจัดการ ซึ่งเราทำเองไม่ได้ กฎหมายไม่ได้เปิดช่องนั้นไว้ มันก็ต้องอาศัยพึ่งพวกเรา สื่อต่างๆ รัฐบาลและ คสช. ก็พยายามจะแก้ไขเรื่องดังกล่าวเหล่านั้น ก็จะต้องช่วยกันส่งเสริมศักยภาพเซลล์เล็กๆ ทั่วประเทศเหล่านั้น ให้เชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายประชาสัมพันธ์ภาครัฐ เพื่อให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างเท่าเทียม ไม่ตกข่าว ไม่ตกสำรวจ จนเสียสิทธิประโยชน์อันพึงได้พึงมี อย่างเช่นที่ผ่านมา

พี่น้องประชาชนครับ ผมมีเรื่องราวที่จะเป็นการสร้างความภูมิใจและชื่นใจให้กับประเทศไทยของเรา ก็คือ เมื่อวันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา นักเรียนไทยสามารถไปคว้ารางวัลสำคัญในการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับโลก ที่นครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ถือเป็นกิจกรรมวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ มีนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์กว่า 1,800 คน จาก 77 ประเทศ เข้าร่วมการแข่งขัน โดยนักเรียนไทยได้รับรางวัลจากเวทีนี้ถึง 3 รางวัล ได้แก่

(1) สาขาสัตวศาสตร์ คือ โครงงาน “การย่อยสลายโฟมโดยตัวอ่อนแมลงปีกแข็ง” ซึ่งจะทำให้เกิดกระบวนการย่อยสลายแบบชีวภาพ ไม่สร้างมลพิษในระหว่างการย่อยสลาย เป็นผลงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จังหวัดลำปาง

(2) สาขาเคมี จากโครงงาน “การพัฒนาเซลล์สารกึ่งตัวนำสำหรับกำจัดสีย้อมอุตสาหกรรม" ซึ่งการกำจัดสีย้อมในปัจจุบันทำได้ยากและมีต้นทุนสูง กระบวนการนี้จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการกำจัดสีย้อมสูงขึ้น สามารถใช้งานซ้ำใหม่ได้ และยังเป็นการใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานทดแทนได้อีกด้วย เป็นผลงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จังหวัดปทุมธานี

และ (3) รางวัลสเปเชียล อวอร์ด ด้านนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน สาขาพืชศาสตร์ จากโครงงาน "สารชีวภาพของสารสกัดหยาบจากหญ้าสาบแร้ง ในการควบคุมสาเหตุวงจรการเกิดโรคใบหงิกในมะเขือเทศพันธุ์สีดา" ซึ่งจะช่วยชะลอการแสดงอาการของโรค และกำจัดแมลงหวี่ขาว ที่เป็นพาหะของโรค และกำจัดวัชพืชได้ด้วย ที่สำคัญเป็นการลดการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและอันตรายจากสารเคมีที่จะเกิดต่อตนเองและสิ่งแวดล้อมได้ เป็นผลงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (มอดินแดง)

รางวัลที่เยาวชนไทยได้รับมาในครั้งนี้นั้น แสดงถึงความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของคนไทย ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับประเทศของเรา เอามาใช้ประโยชน์ ผมขอชื่นชมในความสามารถ ความเพียรพยายาม และความทุ่มเทของเยาวชนและคณาจารย์ทุกท่าน ที่ได้ร่วมกันสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศของเรา และก็หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยทั้งประเทศอีกด้วย

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนและบุคลากรของประเทศ มีการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง ผมได้สั่งการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาแนวทางการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม ในระดับโรงเรียนให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น และนำมาไปใช้ได้จริงมากขึ้น อีกทั้งได้รวบรวมผลงานของนักเรียน ที่ได้รับรองคุณภาพ มาเผยแพร่ ขยายผล เป็นกรณีศึกษาให้เยาวชนอื่นๆ เข้าถึงได้ง่าย รวมทั้ง นำผลงานไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้ และยกระดับขีดความสามารถในการผลิต และในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย

เนื่องจากที่ผ่านๆ มา น่าเสียดายที่ผลงานวิจัยเหล่านั้นต้องกลายเป็นงานวิจัยขึ้นหิ้ง จริงๆ เขาก็ไม่อยากจะขึ้นนะครับ แต่มันไม่มีใครนำไปทำต่อ ก็ต้องเก็บไว้ในหิ้งก่อน วันนี้ก็ต้องเอามาจากหิ้ง เอามาทำ แล้วก็คิดใหม่ขึ้นมา แล้วก็เอามาทำต่อ

ปัจจุบัน เราจำเป็นต้องมีการผลักดันให้เกิดการสร้างนวัตกรรม วัตถุประสงค์เพื่อลดการนำเข้าและเพิ่มการส่งออก เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนานวัตกรรม ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศให้อยู่ที่ร้อยละ 1 ของ GDP มีการเร่งการลงทุนภาครัฐ เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม และหนึ่งในกิจกรรมของภาครัฐเพื่อสนับสนุนเรื่องนี้ ก็คือ การจัดทำบัญชีนวัตกรรมไทย เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนนวัตกรรมไทยอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นช่องทางให้นักวิจัยสามารถนำผลงานวิจัยมาขึ้นบัญชี เพื่อรับการส่งเสริมจากภาครัฐ

ปัจจุบันมีบัญชีนวัตกรรมไทยทั้งสิ้น 14 ประเภท เช่น การเกษตร การศึกษา วิทยาศาสตร์ การแพทย์ ก่อสร้าง ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม ยานพาหนะและขนส่ง อาวุธยุทโธปกรณ์ด้านความมั่นคง เป็นต้น โดยได้มีการยื่นแบบขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยแล้ว 201 รายการ ได้ผ่านกระบวนการและประกาศขึ้นทะเบียนแล้ว 56 รายการ ซึ่งก็คงจะต้องมีมาตรฐานต่างๆ ด้วย หลายอย่างไม่ได้มีกำหนดมาตรฐานไว้เดิม ก็ต้องเอาภาคเอกชนต่างๆ มาช่วยกันคิด หน่วยงานทางการศึกษา ภาคเอกชนมาช่วยกัน กำหนดมาตรฐานทางอุตสาหกรรม หรือแม้กระทั่งเรื่องของ อย.อะไรต่างๆ มาช่วยหน่วยงานของรัฐในการที่จะทำให้มันเร็วขึ้น ถ้าช้ามันก็หมดกำลังใจนะครับ คนคิดก็ไม่อยากจะคิดเพราะไม่ได้มีคนเอาไปใช้ประโยชน์ ทั้งที่มีประโยชน์มากมาย

สำหรับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับในการขึ้นทะเบียนในบัญชีนวัตกรรมนั้น ก็มีตั้งแต่การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าใช้จ่ายด้านการวิจัย พัฒนา เทคโนโลยี และนวัตกรรม ร้อยละ 300 การได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่นๆ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐสามารถจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่อยู่ในบัญชีนี้ได้โดยวิธีพิเศษ สำหรับในภาพรวมของประเทศ บัญชีนวัตกรรมจะช่วยกระตุ้นการพัฒนานวัตกรรม เพื่อจะรองรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการผลิตผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรม เพื่อจะนำมาผลิตเชิงพาณิชย์อย่างมีมาตรฐาน สร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงขึ้น ช่วยลดการนำเข้าสินค้าราคาแพง ลดการพึ่งพาแรงงานและทรัพยากรที่เริ่มมีจำกัด ซึ่งก็จะเป็นอีกก้าวในการเข้าสู่ยุค 4.0 ของประเทศ

ผมขอสั่งการไปยังกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องของการใช้ยาหรือเครื่องมือทางการแพทย์ ขอให้ใช้สิ่งที่ผลิตได้ในประเทศไทยเป็นหลักก่อน ต่อไปนี้ผมจะติดตามการใช้งบประมาณในเรื่องนี้ เพราะว่ามันมีผลกระทบกับเรื่องค่าใช้จ่ายบัตรทองด้วย เพราะเราผลิตยาที่มีคุณภาพ ผ่านมาตรฐาน มันก็ใช้ได้เหมือนกัน ราคามันถูกกว่าตั้งหลายเท่า ต้องซื้อตรงนี้ เอาไปใช้จ่ายทุกโรงพยาบาล

ในภาวะที่การค้าไทยเผชิญกับความท้าทายภายใต้สถานการณ์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากการนำนวัตกรรมมาช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยแล้ว เราจะต้องปรับตัวในการเร่งสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนให้กับประเทศในทุกๆ ด้าน กระทรวงพาณิชย์ ได้บูรณาการร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ที่จะสนับสนุนการผลิตที่ดูแลสิ่งแวดล้อม และกระทรวงแรงงาน ที่มุ่งยกระดับมาตรฐานแรงงานไทย ในการพิจารณาให้ตราสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark เพื่อรับรองสินค้าและบริการ ว่าเป็นผลิตผลจากประเทศไทย มีคุณภาพเชื่อถือได้ มีกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ และภาพลักษณ์องค์กรที่ดี ทั้งการคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีธรรมาภิบาล และมีการคุ้มครองแรงงานอย่างเป็นธรรม

ทั้งนี้ ก็เพื่อจะเสริมความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อ รวมทั้งผู้บริโภคชาวต่างชาติ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในแข่งขันของผู้ประกอบการ และยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ อันจะนำเราไปสู่การก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางอย่างยั่งยืนได้

สำหรับเรื่องราคาผลผลิตทางการเกษตร กระทรวงพาณิช์กำลังพิจารณาออกมาตรการดูแลอยู่ อย่างเช่นเรื่องมันสำปะหลัง มันก็มีทั้งขาดทั้งเกิน จำนวน ในบางครั้งก็ไม่พอ ทำให้ราคาตก เพราะว่าต้องมีการนำเข้าทดแทน เพื่อจะมาทำอาหารสัตว์ ในช่วงที่เรายังผลิตไม่พอ เหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ต้องแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง ก็ขอให้ทุกคนได้ร่วมมือกัน หารือกัน

ในปัจจุบัน มีบริษัทผลิตสินค้าและบริการของไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ T MARK จำนวน 721 บริษัท แบ่งเป็นประเภทสินค้า ได้แก่ กลุ่มอาหาร อุตสาหกรรมหนัก ไลฟ์สไตล์ แฟชั่นทั่วไป ส่วนประเภทธุรกิจ ได้แก่ บริการกลุ่มส่งเสริมสุขภาพ การศึกษานานาชาติ และธุรกิจบริการรักษาพยาบาล

ซึ่งตราสัญลักษณ์นี้นอกจากจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ของประเทศที่เป็นผู้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลแล้ว ก็ยังก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศไทยในหลากหลายประการ ทั้งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงเป็นโอกาสที่สำคัญในการที่จะเพิ่มบทบาททางการค้าของไทยในเวทีโลกอีกด้วย

พี่น้อประชาชนที่รักทุกท่านครับ รัฐบาลและ คสช. ยืนยันว่า การเป็นประชาธิปไตยของไทยนั้นจะต้องไม่เป็นประชาธิปไตยที่ล้มเหลว จะต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีรัฐบาลซึ่งยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล นำพาให้ชาติมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ภายใต้ศาสตร์พระราชาให้ได้ โดยผมอยากฝากประเด็นคำถามไว้ 4 ข้อ เพื่อรับทราบความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน และนำมาพิจารณาแนวทางการทำงานต่อไป คือ

1. ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ 2. หากไม่ได้ จะทำอย่างไร 3. การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง และ 4. ท่านคิดว่ากลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาซ้ำอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร ก็ขอให้ส่งคำตอบและความคิดเห็น มาทางศูนย์ดำรงธรรมในทุกจังหวัด แล้วให้กระทรวงมหาดไทยรวมรวมส่งมา ผมยินดีรับฟัง

สุดท้ายนี้ ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าช่วงนี้ประเทศไทยจะมีฝนตกเพิ่มขึ้น ร้อยละ 60 - 70 ของพื้นที่ ผมเป็นห่วงนะครับ ขอให้ประชาชนทั่วไป เกษตรกร และชาวประมง ได้ติดตามข่าวสาร การแจ้งเตือนภัย และปฏิบัติตามคำแนะนำด้วย

ในส่วนของรัฐบาล นอกจากจะต้องบริหารจัดการน้ำ ไม่ให้เกิดอุทกภัย และมีน้ำเหลือเก็บไว้ใช้ต่อในอนาคตอีกด้วย โดยได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ และติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ ในจุดที่มักจะเกิดปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำ มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ได้มีการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมที่จะเข้าไปสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนหากเกิดสถานการณ์น้ำท่วมได้ อย่างทันท่วงที

ในกรุงเทพมหานครก็เช่นเดียวกัน ผมได้สั่งการกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้ทุกเขตจัดเจ้าหน้าที่ต่างๆ เข้าเยี่ยมเยือน ตรวจเยี่ยม ทุกพื้นที่ที่มีฝนตก หรือก่อนฝนตก และในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ผมต้องการเห็นความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ทุกคนในการเตรียมความพร้อม ในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก รวมทั้งดูงานในทุกจังหวัดด้วย ให้ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ รัฐบาลจะเข้มงวดกวดขันในเรื่องเหล่านี้ เรื่องการทำงานของท่าน ในช่วงที่ประชาชนเดือดร้อน

ในช่วงฝนตก การใช้รถใช้ถนน ขอให้ทุกคนใช้ด้วยความระมัดระวัง ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน อย่าหงุดหงิดใส่กัน รักษาสุขภาพของท่าน และคนในครอบครัว เห็นใจเจ้าหน้าที่เขาด้วย บริษัท ห้างร้าน ก็ขอให้ดูแลป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ให้แข็งแรง มั่นคง หน่วยงานในท้องที่ให้ตรวจสอบต้นไม้ สายไฟ เสาไฟขนาดใหญ่ โดยเฉพาะต้นไม้ในสวนสาธารณะ เสาไฟฟ้า ตามถนนและชุมชน ป้ายรถเมล์ อย่าให้เกิดเหตุที่ไม่พึงประสงค์ ปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วก็มาใช้วิธีการแก้ไขทีหลัง “วัวหายแล้วล้อมคอก” เหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่มีการป้องกัน ไม่ดี ผมจะต้องลงโทษนะครับ